Saturday, October 27, 2018

สัมภาษณ์ "มุ้ย" ประสบการณ์งานออแพร์ พี่เลี้ยงเด็กในอเมริกา




ชื่อ มุ้ย นะคะ แต่คนเมกันเรียก ชฎา (Chada) เพราะชื่อจริง ชฎาพร จบสายการเงิน จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
หลังเรียนจบป.ตรี ก็สมัครเข้าทำงานบริษัทญี่ปุ่น 2 ปี 2 ที่ หลังจากนั้นก็ย้ายบริษัทมาทำอยู่ที่บริษัทกระดาษยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย (บริษัทพยัญชนะภาษาอังกฤษตัวแรก) ก็ทำมาได้ 3 ปีกว่าๆ ด้วยตำแหน่ง Finance Officer ทั้ง 3 ที่เลยค่ะ
คือช่วงเวลาที่เราทำงานในบริษัทเป็นพนักงานการเงินนั้น ก็มีการติดต่อประสายงานกับฝ่ายต่างประเทศ มีการทำเรื่องเปิดบริษัทที่ต่างประเทศ และติดตามงานด้านต่างประเทศบ่อยมากๆ
มุ้ยจึงได้ใช้ภาษาอังกฤษในที่ทำงานเยอะมาก แล้วในขณะนั้นเราไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษในทักษะการพูดเลย (แต่ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองเก่งมากแหละ คือ คิดไปเองเนาะ)
ทำให้ในจุดตรงนี้แหละเราอยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ แล้วจะทำยังไงถึงจะเก่งหล่ะ?
พอดีมีเพื่อนมาโครงการออแพร์ แล้วเพื่อนได้เที่ยว และพูดอังกฤษเก่งมาก เราเลยเอาบ้างสิวะ ก็เลยเลือกเส้นทางมาสู่การเป็นออแพร์
และอีกอย่างคือ ถ้าจะเรียนภาษาอังกฤษแล้วเอาเงินไปลงเรียนภาษาอังกฤษในประเทศ ต่อให้จ่ายเป็นล้าน เราคงพูดไม่ได้เท่ามาเรียนและมาอยู่กับเจ้าของภาษาแน่ๆ ก็เลยลงทุนมาเป็นออแพร์ซะเลย (ในความคิดตอนนั้นนะ)
#นิยามคำว่าออแพร์ หน้าที่มันคืออะไร ?
ออแพร์ (Au Pair) คือ ถ้าจะบอกว่าพี่เลี้ยงเด็ก Nanny หรือBabysitter ก็ได้นะ แต่ออแพร์มันรวมทั้ง 3 คำนี้ แล้วมุ้ยจะนิยามมันว่า Big Sister ดีกว่าค่ะ
คือก็เหมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ได้ดูแลลูกโฮส แล้วลูกโฮสก็เคารพเราเหมือนพี่สาวคนโตของบ้านอะไรประมาณนี้
(โฮส Host ก็คือ เจ้าของบ้าน หรือผู้จ่ายค่าจ้างให้เรานี่แหละค่ะ)
1) อายุไม่เกิน 27 ปี
2) สถานะทางกฎหมายเป็นโสด คือ ไม่จดทะเบียนหรือมีบุตร
3) มีชั่วโมงการเลี้ยงเด็กไม่ต่ำกว่า 400 ชม.
4) ขับรถเป็น (ขับรถเป็นกับขับรถได้ไม่เหมือนกันนะคะ)
5) สื่อสารภาษาอังกฤษได้
ก็จะประมาณนี้คร่าวๆ นะคะ
ที่จริงการมาเป็นออแพร์ใครๆ ก็เป็นได้ค่ะ การเตรียมตัวก็ตามคุณสมบัติข้างต้นเลยค่ะ
สำหรับการสมัครนั้น ต้องสมัครผ่าน Agency ก็ควรเลือก Agency รายใหญ่ๆ
(เราต้องจ่ายค่าโครงการด้วยนะคะ)
คือที่จริงทุกเอเจนซี่กฎเหมือนกันหมด ไปกับเอเจนซี่ไหนก็ได้ แต่ต่างกันที่ ถ้าเอเจนซี่ใหญ่ๆ หน่อยเหมือนเค้าจะมีโฮสในสังกัดเยอะ เปอร์เซ็นต์การได้มาเป็นออแพร์ จะมีมากกว่าเอเจนซี่รายเล็ก
ส่วนเรื่องกฎ ก็จะเหมือนกันคือ ทุกเอเจนซี่เค้าอิงกฎ ตามกฎหมายวีซ่าเข้าประเทศอเมริกาเลยค่ะ
เพราะมันจะทำให้เราได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์กับโฮสมากขึ้น คือมันหมายถึงการได้เป็นออแพร์มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่า
สำหรับการสอบก็มีเพียงสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ
#เลือกประเทศที่จะไปได้มั้ย? และมุ้ยเลือกมาทำที่ไหน?
เราสามารถเลือกประเทศที่จะมาเป็นออแพร์ได้ค่ะ ส่วนมุ้ยเลือกมาเป็นออแพร์ในอเมริกาค่ะ
ซึ่งทางฝั่งยุโรปก็สามารถไปเป็นออแพร์ได้เช่นกัน แต่ก็จะมีคุณสมบัติและเงื่อนไขแตกต่างกันไปค่ะ
เราสามารถเลือกครอบครัวที่จะมาอยู่ด้วยได้ค่ะ ก็เหมือนกับเลือกบริษัททำงาน
ถ้าบริษัทไหนให้เงินเดือนกับสวัสดิการเป็นที่น่าพอใจเราก็เลือกใช่ไหมคะ
แต่จะต่างกับออแพร์ตรงที่ ครอบครัว(โฮส) ที่เราจะมาอยู่ด้วย ควรเลือกครอบครัวที่เราคุยแล้วรู้สึกว่า “ใช่” และ สบายใจในการคุย ตอนสัมภาษณ์กันค่ะ
ก่อนมาเป็นออแพร์ที่อเมริกา ไม่มีการเทรนที่ไทยค่ะ แต่พอบินมาถึงอเมริกาแล้วต้องเข้าไปเทรนในโรงเรียน เพื่อเรียนรู้การทำงานกับเด็ก การช่วยเหลือเด็ก
กฎหมายที่อเมริกา กฎหมายที่คุ้มครองสิทธิสำหรับคนที่ถือวีซ่า J1 วัฒนธรรมของคนที่นี่ ก่อนมีการเริ่มงานจริงค่ะ
มุ้ยได้เตรียมมาแค่ 2-3 อย่าง นั่นคือ...
1) อาหารไทยบางส่วนเพื่อครองชีพที่อเมริกา อย่างที่ทุกคนทราบดีนะคะ การมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็กลัวจะคิดถึงรสชาดอาหารไทยแบบรสปาก
ก็เลยเตรียมพวกน้ำพริก อาหารแห้ง และก็จะมียามาพอประมาณ
เนื่องจากมาอเมริกาค่ายาแพง และการจะซื้อยาต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้นถึงจะซื้อยาได้
2) เตรียมวางแผนการใช้เงินและการออมเงิน เพราะมุ้ยยังต้องส่งเงินกลับไทยให้แม่ได้ใช้อยู่
3) เตรียมใจ ส่วนนี้สำคัญมากๆ เพราะต้องเตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีนั่นเอง
ในตรงข้อนี้ไม่ได้คิดเลยค่ะ เพราะคิดว่าหากบ้านเมืองยังมีขื่อมีแปร ยังไงก็ไม่น่าอันตราย ทุกคนย่อมเคารพกฎหมายบ้านเมืองอยู่แล้ว นี่คิดแค่นี้จริงๆ ค่ะ
ส่วนเงินติดตัวมาตอน $400 ประมาณ 14,000 บาท เพราะทำงานอาทิตย์นึงก็ได้เงินละ
ช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้ออกไปไหนก็เก็บเงินไว้ ยังไม่รู้จักที่ช้อปที่เที่ยว กว่าจะรู้จักที่ช้อปที่เที่ยวก็เก็บเงินได้หลายเหรียญอยู่ค่ะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินอะไรเลยอยู่กินกับโฮสค่ะ
พอเริ่มรู้จักที่ช้อปที่เที่ยว ก็ต้องเริ่มจัดสรรเงินเป็นสัดเป็นส่วนตามแผนที่ได้จัดทำไว้ อาจจะมีขาดบ้าง แต่ก็ขึ้นกับคนที่จะจัดการด้านการเงินของตัวเองค่ะ
เคยมีเพื่อนบางคนติดตัวมาแค่ $100 (3,500 บาท) ก็มีค่ะ เค้าก็อยู่ได้ เที่ยวได้ สบายเช่นกัน
มาออแพร์ไม่ต้องมีเงินติดตัวมาค่ะ เจ็บป่วยก็ได้ซื้อประกันไว้แล้วไม่ต้องห่วงอะไรมาค่ะ
ปล.ประกันสุขภาพเราซื้อมาแล้วตั้งแต่จ่ายค่าโครงการค่ะ
ชีวิตการเป็นออแพร์มันดีจริงๆ ค่ะ ได้เที่ยว ได้พบปะเพื่อนต่างชาติ ได้พบอะไรใหม่ๆ เปิดโลกทัศน์ไปเลยค่ะ
คือการได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ต่างชาติ หรือในชาติเดียวกัน มันทำให้รู้สึกอบอุ่นนะคะ มี Connection มากขึ้น
สำหรับการกินอยู่นั้น ดีกว่าที่คิดไว้เลยค่ะ มีอาหารหลากหลายเชื้อชาติ ได้ลองได้ชิม
ก็อาจจะมีถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้างเป็นธรรมดาค่ะ
ถ้าเรื่องการกินอยู่ที่บ้าน โฮสจะทำอาหารให้ทานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมุ้ยทำให้อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
ส่วนเรื่องทำกับข้าวให้เด็กไม่มีอะไรมาก ก็เป็นอาหารเที่ยง ก็แล้วแต่บางบ้านจะต้องการให้ออแพร์ทำมากน้อยขนาดไหน
แต่ถ้าช่วงอากาศดีๆ โฮสก็จะพาไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง สำหรับช่วงเทศกาลใหญ่ๆ ก็จะมีญาติพี่น้องมาร่วมเทศกาลที่บ้าน
ออแพร์ก็ร่วมโต๊ะอาหารด้วยเพราะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด เค้าไม่แบ่งแยกว่าออแพร์คือคนรับใช้อะไรแบบนี้ โฮสก็ให้ความสำคัญออแพร์เสมือนหนึ่งในครอบครัวเค้าเหมือนกันค่ะ
แต่จะบอกว่าการเป็นออแพร์ให้ประสบการณ์ต่างๆ หลากหลาย เยอะแยะ มากมาย มากๆ ค่ะ และทำให้เรา Survives ตัวเองได้ดีเลย คือออแพร์ คือดีย์อ่า
คือมุ้ยเป็นออแพร์ 2 ปี โดยทั้ง 2 ปี ก็อยู่มา 2 ครอบครัว
บ้านแรก จะเป็นบ้านที่มีโฮสแนวคนอินเดีย แต่สัญชาติอเมริกัน
บ้านที่สอง จะเป็นบ้านที่มีโฮสแนวแม่บ้านเกาหลี แต่สัญชาติอเมริกัน
โดยโฮสทั้งสองบ้าน จะพูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกันแท้ๆ
ซึ่งมาแรกๆ ในปีแรก มุ้ยยังสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ ฟังไม่ออกเลย พออยู่สัก 4 เดือนถึงได้เข้าใจ แต่ก็ยังพูดไม่คล่อง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองประหลาดในฝูงฝรั่งนะคะ
ด้วยความที่เราเป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนค่อนข้างง่ายค่ะ เราก็รู้สึกว่าเขาก็ตอนรับเราดี
แต่ตอนที่อยู่กับโฮสบ้านแรกก็มีประสบการณ์ที่ค่อนข้างไม่ดีเท่าไหร่ (ขออนุญาตไม่กล่าวถึง)
พอมาปีที่ 2 จึงเลือกย้ายบ้านไปหาครอบครัวใหม่ ซึ่งปีที่ 2 ของการเป็นออแพร์ได้มีโอกาสหาโฮส
ก็เลยได้เลือกบ้านดีไปเลยไหนๆ ก็ปีสุดท้ายของเราละ ก็ได้เลือกบ้านที่ปฏิบัติกับเราเสมือนเราเป็นคนในครอบครัวจริงๆ ไม่ใช่เพราะมาเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็ก
จึงได้บ้านโฮสในปีที่ 2 แบบดีมาก เด็กๆ น่ารัก น่าเอ็นดู เด็กเคารพเราเหมือนเราเป็นพี่สาวเค้า
คุณปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ดีทั้งหมดเลย ประทับใจและดีใจมากที่ได้อยู่กับครอบครัวที่ 2 ทุกวันนี้ยังไปมาหาสู่กันหมดเลยค่ะ
ตอบเลยว่ามากๆ เลยค่ะ มุ้ยถึงบอกไงคะ ว่าต่อให้มุ้ยจ่ายเงินเรียนภาษาอังกฤษในประเทศ 1 ล้าน
ก็ยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษคล่องได้แบบนี้ (คือมุ้ยคิดเอาเอง)
โอ้โห!!! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเที่ยวเลยค่ะ ได้เที่ยวแน่นอนค่ะ
มุ้ยเป็นคนที่ชอบผจญภัย ต้องเที่ยว รักกิจกรรมมากๆ คนนึงเลย
ในปีแรกที่มาอยู่อเมริกาก็ไปเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกที่ว่าเสียวๆ มาแล้ว 5 ที่ในปีเดียว
ทั้ง Disney World กับ Universal ที่ Florida Six Flags ที่ Maryland Kings Dominion และ Bruch Garden ที่ Virginia
และช่วงพักร้อนปีแรก 2 อาทิตย์ ครั้งละอาทิตย์ ครั้งแรก ไป Florida ครั้งที่ 2 ก็ Road Trip ไปกับแฟนและแม่แฟน ที่ Florida
ไปสุดทางตอนใต้ของอเมริกาเลยค่ะ สำหรับพักร้อนในปีที่ 2 ก็ 2 อาทิตย์ ครั้งละ 1 อาทิตย์ เช่นกัน
ครั้งแรกไป คริสมาสที่ New York กะจะไปเอาหิมะตกแล้วมีต้นคริสมาสประดับใหญ่ๆ สักหน่อย แต่หิมะไม่ตกน่าเสียดาย
ครั้งที่ 2 Road Trip ไป Las Vegas เข้า Arizona แล้วเข้า Utah และวกเข้า Las Vegas อีกที สนุกมากค่ะ
นอกจากพักร้อนแล้วยังมีช่วง Weekend ถ้าว่างๆ ก็ไป Hiking, ยิงปืน, Longboarding, Tubing
ถ้าหนาวๆ ก็ขึ้นเข้าไป Snow Boarding เลยค่ะ กิจกรรมเยอะแยะมากมาย
คือยิ่งเป็นคนชอบทำกิจกรรมก็จะค้นหาอะไรใหม่ๆ ทำ สนุกดีค่ะ
#เค้าให้วันหยุดมั้ย?
ก็มีวันหยุดบ้างในวัน Holiday
ค่าจ้าง $195.75 ต่อสัปดาห์ (ประมาณ เกือบ 7,000 บาท)
ทำงาน 45 ชม. ต่อสัปดาห์ (ถือว่าได้น้อยมากๆ แต่ก็คุ้มมั้ง? 555+)
(ตอนนี้ก็ย่าง 29 ปีละ) คุ้มมากๆ เลยค่ะ คือประสบการณ์มันหาซื้อไม่ได้อาเนาะ
สำหรับตัวมุ้ยคือ จะดำรงชีวิตยังไง หากเราต้องเรียกร้องสิทธิของการเป็นออแพร์ให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่ภาษาต่างกัน แล้วมาโดนเอารัดเอาเปรียบ เราจะทำยังไง และนี่คือสิ่งที่มุ้ยว่ายากที่สุดเลย
ก็คือ ชอบทุกอย่างเลย ทั้งสุขทั้งทุกข์ มันปะปนกันไปเลยค่ะ โดยรวมๆ ก็ชอบหมดนะ
#ถ้าอยากสมัคร ติดตามที่ไหนได้บ้าง?
ก็ลองเข้าไปหาข้อมูลใน Google เรื่อง Au Pair ได้เลย และติดต่อผ่าน Agency ตามที่เราสนใจเลยค่ะ
จะขออนุญาตไม่เอ่ยว่า Agency ไหนดีไม่ดี เกรงว่าจะเป็นการโฆษณาให้เค้า คือแล้วแต่เราจะเลือกเลยค่ะ
แต่แนะนำให้หาดูเวปที่มีข้อมูลเชื่อถือได้ เป็น Agency ที่รายใหญ่ มีรีวิวเยอะเท่านั้นเองค่ะ
#ฝากถึงคนที่คิดจะมาทำงานออแพร์
คือที่จริงต้องมีจิตใจดี รักเด็ก ในที่นี้หมายความว่า คุณต้องมีจิตวิญญาณความเป็นแม่เลยค่ะ
ถึงจะทำงานออแพร์ได้ราบรื่น สำหรับเรื่องการมาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกานั้น
ควรจะต้องศึกษากฎหมายให้เป็นอย่างดี เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องการรักษาสิทธิของเรา
ไม่โดนเอารัดเอาเปรียบและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
และควรศึกษากฎหมายเกี่ยวกับวีซ่าที่ออแพร์ถืออยู่ให้เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ ถึงจะอยู่ที่นี่ได้อย่างสตรองมากๆ นี่คือสิ่งที่อยากฝากให้สำหรับคนที่จะก้าวเข้ามาทำงานเป็นออแพร์
สำหรับคนที่ลังเลหรืออยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะทำอะไรนั้น มุ้ยก็อยากให้ฟังและทำตามหัวใจตัวเองเลยค่ะดีที่สุด เดินตามสิ่งที่ตนรัก และมันจะพบเจอสิ่งดีๆ ระหว่างทางจองมันเองค่ะ
ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเจอเรื่องราวดีๆ และมีความสำเร็จในเส้นทางการเดินของตัวเองนะคะ
#ไม่อนุญาตให้นำรูปไปใช้ #แชร์ได้จากเฟสบุคโดยตรงหรือให้เครดิตเท่านั้นนะคะ ^ ^
ด้วยรัก
พี่ออย และมุ้ยค่ะ
#ติดต่อและติดตามพี่ออยได้จากหลายช่องทางเลยจ้าาา 👇🏻
- Facebook : www.facebook.com/thecrewconcepts : คอร์สแอร์โฮสเตสออนไลน์
- Line@ : @thecrewconcepts หรือ https://line.me/R/ti/p/%40thecrewconcepts
- Facebook : www.facebook.com/ritaconcepts : เรื่องเม้าจากอเมริกา รีวิว สวยงาม ท่องเที่ยว จิปาถะจากพี่ออย
- Youtube : www.youtube.com/ritaconcepts
-Blogger: https://thecrewconcepts.blogspot.com
-IG :https://www.instagram.com/ritaconcepts
- Email: ritaconcepts@gmail.com
....................................................................








No comments:

Post a Comment

รีวิวขั้นตอนสัมภาษณ์และเทคนิคสัมภาษณ์ Qatar ให้ผ่าน สนามกระบี่ รอบมีนาคม 2019

⭐️   # รีวิวขั้นตอนบวกเทคนิคการสัมภาษณ์  Qatar Airways รอบกระบี่ เดือนมีนาคม 2019 " จากน้องนักเรียนที่มาเรียนคลาส Prepare to be ...